ข้อมูลโดย ศูนย์บริการข้อมูลธุรกิจไทยในฮ่องกง สถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองฮ่องกง
ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา จีนมีการเติบโตทางเศรษฐกิจแบบก้าวกระโดด มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการผลิตในประเทศจากอุตสาหกรรมที่เน้นแรงงานเป็นหลัก อาทิ สิ่งทอ เสื้อผ้า รองเท้า อุปกรณ์กีฬา ของเล่น เฟอร์นิเจอร์ และอื่นๆ ไปสู่อุตสาหกรรมที่มีมูลค่าสูงขึ้น อาทิ เครื่องใช้ไฟฟ้า ชิ้นส่วนรถยนต์ เครื่องจักร รวมไปถึงอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าสูงซึ่งมุ่งเน้นเทคโนโลยีและปัญญาประดิษฐ์ อาทิ รถยนต์ไฟฟ้า โดรน หุ่นยนต์ เครื่องบิน และอื่น ๆ
Photo: Global Economics, CKGSB
กลยุทธ์ China+1
จากการเปลี่ยนแปลงนี้ จีนจึงพยายามที่จะรักษาสถานะในการเป็น “โรงงานของโลก” และสร้างสมดุลในห่วงโซ่การผลิตโดยการกระจายฐานการผลิตออกนอกประเทศไปยังประเทศอื่น ๆ เพื่อกระจายความเสี่ยงทางการค้า โดยเฉพาะประเทศในกลุ่มอาเซียน อาทิ ไทย เวียดนาม อินโดนีเซีย ที่มีความน่าสนใจในการลงทุนสูง ซึ่งกลยุทธ์ทางการค้าลักษณะนี้เรียกว่า “กลยุทธ์ China+1”
นอกจากบริษัทของจีนแล้ว บริษัทของประเทศอื่น ๆ ที่มีฐานการผลิตในจีน อาทิ ญี่ปุ่น สหภาพยุโรป และสหรัฐอเมริกา ก็มีความพยายามในการปรับลดปริมาณการผลิตในจีน และกระจายความเสี่ยงด้วยการขยายฐานการผลิตออกจากประเทศจีนไปยังประเทศอื่น ๆ เช่นกัน
สาเหตุสำคัญที่ผู้ประกอบการในจีนต้องกระจายความเสี่ยงและขยายฐานการผลิตไปยังประเทศอื่น
- ข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีน ที่เริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ. 2561 และยังดำเนินต่อมาจนถึงปัจจุบัน ส่งผลให้การส่งออกสินค้ามีความยากลำบาก เนื่องจากสินค้าหลายประเภทถูกกีดกันการส่งออก และต้องเผชิญกับกำแพงภาษีที่ตั้งไว้สูง ต้นทุนสินค้าจึงสูงขึ้นและทำให้ผู้ประกอบการจำนวนมากประสบปัญหาในการควบคุมราคาสินค้า รวมไปถึงอุปสรรคอื่น ๆ ในการส่งมอบสินค้าให้ทันเวลา
- อัตราค่าจ้างแรงงานในประเทศจีนที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา จากความเจริญก้าวหน้าของประเทศที่เปลี่ยนนโยบายจากประเทศเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมที่เน้นการใช้แรงงานไปสู่ประเทศที่เน้น การใช้แรงงานมีฝีมือและอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าสูง ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตในประเทศจีนเพิ่มสูงขึ้นมาก ทำให้ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมที่เน้นการใช้แรงงาน เริ่มย้ายฐานการผลิตออกจากจีน
- การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรของจีนซึ่งเป็นผลจากนโยบาย One-Child Policy ที่ประกาศใช้เมื่อปี พ.ศ. 2523 อนุญาตให้คนจีนมีบุตรได้เพียงครอบครัวละ 1 คน ทำให้ประชากรในวัยแรงงานจีนเริ่มลดลงอย่างต่อเนื่อง
- มาตรการควบคุมการเดินทางเข้า-ออกประเทศตามนโยบายโควิดเป็นศูนย์ (Zero Covid-19) ของจีนในช่วง การแพร่ระบาดของโรคไวรัสโควิด-19 ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ก่อให้เกิดผลกระทบอย่างมากต่อเศรษฐกิจจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริษัทต่างชาติที่เข้าไปลงทุนในจีน เนื่องจากปริมาณการขนส่งระหว่างจีนกับประเทศต่าง ๆ ลดลงจนถึงเกือบหยุดชะงัก ทำให้ห่วงโซ่อุปทานของโลกขาดสมดุล ส่งผลให้บริษัทต่าง ๆ เริ่มหาทางเลือกอื่น เพื่อกระจายความเสี่ยงและความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้นได้อีกในอนาคต โดยเริ่มลดการลงทุนในจีนและกระจายฐานการผลิตไปยังประเทศอื่น
- รัฐบาลจีนประกาศใช้นโยบายเศรษฐกิจแบบวงจรคู่ขนาน (Dual Circulation) ที่เน้นให้ความสำคัญกับ การหมุนเวียนเศรษฐกิจภายในประเทศ ควบคู่กับการหมุนเวียนเศรษฐกิจระหว่างประเทศ เพื่อลดการพึ่งพารายได้จากการค้าระหว่างประเทศ ทำให้จีนปรับลดมาตรการและเงินสนับสนุนต่าง ๆ ที่เคยให้กับผู้ส่งออกลง เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ผู้ส่งออกจำนวนมากต้องย้ายฐานการผลิตออกจากจีนที่มีต้นทุนการผลิตต่ำกว่า
- นโยบาย Belt and Road Initiative (BRI) ของจีนที่มีเป้าหมายเพื่อสร้างความเชื่อมโยงด้านเศรษฐกิจและวัฒนธรรมระหว่างประเทศต่าง ๆ ที่เข้าร่วม ซึ่งนโยบายนี้เอื้อประโยชน์ให้แก่บริษัทที่มีศักยภาพของจีนสามารถขยายการลงทุนไปยังประเทศที่มีความร่วมมือตามข้อริเริ่มนี้ได้อย่างสะดวก ลดความเสี่ยงของการลงทุนในต่างประเทศ และสามารถเพิ่มปริมาณการผลิตได้มากขึ้น ในขณะที่ต้นทุนการผลิตลดลง
ตัวอย่างของบริษัทในจีนที่ขยายฐานการผลิตมายังประเทศไทยตามนโยบาย CHINA + 1
- รถยนต์ไฟฟ้าจากบริษัท Great Wall Motor ขยายฐานการผลิตมาเปิดโรงงานที่ไทยในปี พ.ศ. 2564
- รถยนต์ยี่ห้อ MG ซึ่งเป็นการร่วมทุนระหว่างบริษัท Shanghai Automotive Industry Corporation (SAIC) กับบริษัทไทยในเครือเจริญโภคภัณฑ์
- รถยนต์ไฟฟ้ายี่ห้อ BYD ซึ่งเป็นการร่วมทุนระหว่างบริษัท BYD ของจีนกับบริษัท WHA Group ของไทยโดยมี การลงนามสัญญาร่วมทุนเมื่อเดือนกันยายน พ.ศ. 2565 เพื่อจะตั้งโรงงานผลิตรถยนต์ที่จังหวัดระยอง
- บริษัท หัวเหว่ย (Huawei) มีแผนลงทุนในประเทศไทยทั้ง 4 ด้าน คือ 5G ธุรกิจพลังงานดิจิทัล การพัฒนาทักษะดิจิทัล และ Data Center & Cloud
- บริษัท Alibaba ซึ่งเป็นผู้นำพานิชย์อิเล็กทรอนิกส์ยักษ์ใหญ่ของจีน ลงทุนสร้างศูนย์ข้อมูลใหม่ (new data center) ในไทย
- บริษัท KGK Jewellery (Hong Kong) LTD. ผู้นำอุตสาหกรรมอัญมณีระดับโลกที่มีฐานการผลิตและจัดจำหน่ายมากกว่า 17 ประเทศ เป็นผู้เจียระไนเพชรให้แก่บริษัทชั้นนำอย่าง De Beers โดยในปัจจุบันบริษัท KGK มีพนักงานทั่วโลกรวมทั้งสิ้น 15,000 คน มีฐานการผลิตบางส่วนในประเทศจีน และเริ่มขยายฐานการผลิตมายังประเทศไทยเมื่อปี พ.ศ. 2550 บริษัท KGK มีโครงการสร้างโรงงานแห่งที่ 2 ในประเทศไทย แต่ประสบปัญหาขาดแคลนแรงงานฝีมือด้านอัญมณี สถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองฮ่องกง จึงได้ผลักดันความร่วมมือระหว่างบริษัทกับกระทรวงแรงงาน ในช่วงโอกาสการเยือนฮ่องกงของนายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เพื่อสนับสนุนการขยายฐานการผลิตในประเทศไทย โดยได้จัดให้มีการแสดงเจตจำนงระหว่างกันเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566 เพื่อส่งเสริมโครงการฝึกอบรมแรงงานมีฝีมือรองรับความต้องการแรงงานด้านอัญมณี 500 – 600 อัตรา
ประโยชน์ที่ประเทศไทยจะได้รับจาก China + 1
- การพัฒนาทักษะแรงงานและโอกาสในการได้รับการถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยีใหม่ ๆ ผ่านการขยายฐาน การผลิตเข้ามายังประเทศไทย (knowledge transfer) จะทำให้แรงงานไทยในอนาคตเป็นแรงงานที่มีคุณภาพ มีประสิทธิภาพและความรู้ความสามารถเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นวิธีเดียวกันกับที่ประเทศจีนได้พัฒนาตนเองผ่านการลงทุนของประเทศตะวันตกในอดีต ทำให้แรงงานจีนในปัจจุบันมีความรู้ความสามารถในการต่อยอดพัฒนาองค์ความรู้ที่เคยได้รับต่อไปได้ และนำมาสู่การพัฒนาประเทศในที่สุด
- การเพิ่มขึ้นของปริมาณการจ้างงานในประเทศไทย เนื่องจากการจัดตั้งบริษัทหรือโรงงานอุตสาหกรรม ต้องการบุคลากรและแรงงานท้องถิ่นจำนวนมาก
- การเพิ่มขึ้นของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (Gross Domestic Product: GDP) จากการพัฒนาเศรษฐกิจและภาคการส่งออก อันเกิดจากการลงทุนในประเทศที่เพิ่มขึ้น ทำให้ประชากรมีรายได้มากขึ้น และเกิดเศรษฐกิจหมุนเวียนในประเทศ
- การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสาธารณูปโภคในพื้นที่ที่มีการลงทุนของภาคอุตสาหกรรม เพื่อให้สามารถรองรับ การผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ อาทิ ถนน สะพาน เสาไฟฟ้า และอื่น ๆ ทำให้เกิดความเจริญในชุมชน
- สร้างโอกาสให้บริษัทสัญชาติไทยที่มีศักยภาพในการขยายการค้าการลงทุนไปยังประเทศใหม่ ๆ โดยอาศัย การเรียนรู้ประสบการณ์และความชำนาญของบริษัทต่างชาติที่ลงทุนในจีน และขยายการลงทุนมายังประเทศไทย หรือ อาจร่วมมือกับบริษัทต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทยในการขยายตลาดการส่งออกไปยังต่างประเทศ เพื่อเติบโตทางธุรกิจร่วมกัน อย่างที่จีนเคยมีประสบการณ์เช่นนี้มาก่อน ดังเช่นกรณีศึกษาของบริษัทผลิตรถยนต์ยี่ห้อ Volkswagen ประเทศเยอรมนี ที่ร่วมทุนกับบริษัทผลิตรถยนต์ SAIC Motor ตั้งโรงงานผลิตรถยนต์ในประเทศจีนเมื่อปี พ.ศ. 2527 ต่อมาบริษัท SAIC ได้พัฒนาธุรกิจอย่างต่อเนื่องในประเทศจีนจนสามารถเข้าซื้อกิจการรถยนต์ยี่ห้อ MG ซึ่งเป็นรถยนต์ประเทศอังกฤษได้สำเร็จหลังจากนั้น รถยนต์ยี่ห้อ MG ได้ขยายฐานการผลิตมายังประเทศไทย โดยตั้งโรงงานแห่งแรกที่จังหวัดชลบุรีเมื่อปี พ.ศ. 2556 และเปิดโรงงานเพิ่มแห่งที่ 2 ในปี พ.ศ. 2560 เพื่อขยายธุรกิจไปยังประเทศในกลุ่มอาเซียน