รู้จัก Yum! Brands… เชื่อว่าหลายคนคงคุ้นเคยกับอาหารฟาสต์ฟู้ดอย่าง ‘ไก่ทอด KFC’ และ ‘พิซซ่า ฮัท’ กันมาบ้าง แต่จะมีสักกี่คนที่ทราบว่า… เจ้าของเชนฟาสต์ฟู้ดยักษ์ใหญ่จากสหรัฐอเมริกา KFC และ Pizza Hut เป็นเจ้าของคนเดียวกัน คือ บริษัท Yum! Brands นั่นเอง
สำหรับ KFC กิจการร้านอาหารตะวันตกกิจการแรกที่เปิดในประเทศจีน กิจการได้ขยายตัวในจีนอย่างรวดเร็ว จนถึงปัจจุบันจีนเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุด มีสาขามากกว่า 6,000 สาขาทั่วประเทศจีน ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมากในตลาดจีน และมีแนวโน้มขยายตัวได้ดีอย่างต่อเนื่อง
ล่าสุด เมื่อปลายเดือนพฤษภาคม 2565 บริษัท Yum China ได้วางศิลาฤกษ์โครงการศูนย์โลจิสติกส์ห่วงโซ่อุปทานอัจฉริยะในพื้นที่เขตทดลองการค้าเสรีจีน(กว่างซี)พื้นที่ย่อยหนานหนิง ซึ่งตั้งอยู่ในเขตเมืองใหม่อู่เซี่ยงของนครหนานหนิง
ตามรายงาน โครงการดังกล่าวเป็นมีเนื้อที่ 20.83 ไร่ มีมูลค่าเงินลงทุน 150 ล้านหยวน ประกอบด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกด้านโลจิสติกส์ที่มีความทันสมัยและคลังสินค้ามาตรฐานพื้นที่ราว 22,000 ตร.ม. (เป็นพื้นที่คลังสินค้าห้องเย็น 8,000 ตร.ม.) โดยศูนย์ดังกล่าวจะนำเทคโนโลยีห่วงโซ่ความเย็นที่มีความทันสมัยและเทคโนโลยีการบริหารจัดการด้านโลจิสติกส์ด้วยนวัตกรรมดิจิทัลและระบบอัจฉริยะ คาดหมายว่าจะสามารถเริ่มใช้งานได้กลางปีหน้า (ปี 2566)
ศูนย์แห่งนี้เป็นผู้ให้บริการธุรกิจด้านห่วงโซ่อุปทานความเย็นและบริการเสริม (Value-added logistics service) ที่เกี่ยวข้อง โดยมีหน้าที่หลักคอยสนับสนุนการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานให้กับร้าน KFC และ Pizza Hut ของบริษัท Yum China รวมถึงการให้บริการด้านการจัดการห่วงโซ่อุปทานแก่ลูกค้า (third party) ผ่านบริษัท ChuanSheng Supply Chain (传胜供应链) ในเครือบริษัท Yum China ด้วย และจะเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยยกระดับขีดความสามารถทางการแข่งขันให้กับห่วงโซ่อุตสาหกรรมอาหารของนครหนานหนิงได้อีกมาก
นายหวง ตัวตัว (Huang Duoduo/黄多多) ตำแหน่ง Chief Supply Chain Officer ของ Yum China ให้ข้อมูลว่า จนถึงสิ้นไตรมาส 1/2565 บริษัทฯ มีศูนย์โลจิสติกส์อยู่ 32 แห่งทั่วประเทศจีน สำหรับพื้นที่คลังสินค้าที่เหลือ ทางบริษัทฯ มีบริการห่วงโซ่อุปทานแบบครบวงจรให้กับลูกค้ารายอื่นด้วย ด้วยชื่อเสียงของแบรนด์และคุณภาพการให้บริการห่วงโซ่อุปทาน ได้ดึงดูดให้ลูกค้าและพันธมิตรธุรกิจต้นน้ำ-ปลายน้ำเข้ามาประกอบธุรกิจ จนกลายเป็นพื้นที่คลัสเตอร์ของห่วงโซ่อุปทานสำหรับธุรกิจอาหาร และช่วยขับเคลื่อนการพัฒนาทางเศรษฐกิจในพื้นที่ได้เป็นอย่างดี
กว่า 32 ปีที่บริษัท Yum! Brands ที่ก้าวเข้ามาประกอบธุรกิจในจีนแผ่นดินใหญ่ บริษัทฯ ได้นำประสบการณ์ด้านการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานด้วยระบบและเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ในจีน ตั้งแต่การบริหารจัดการของซัพพลายเออร์และธุรกิจต้นน้ำ การบริหารจัดการด้านโลจิสติกส์และการจัดส่งสินค้า ไปจนถึงการบริหารจัดการร้านอาหาร สามารถติดตามและตรวจสอบคุณภาพของวัตถุดิบสินค้าจากผู้ผลิต ระหว่างการขนส่ง (อุณหภูมิในรถ ในคลังสินค้า) ได้แบบ real time และในอนาคตบริษัท Yum China วางแผนขยายการลงทุนด้านโครงข่ายโลจิสติกส์อัจฉริยะ และจับมือกับพันธมิตรธุรกิจในการพัฒนาโมเดลห่วงโซ่อุปทานที่มีความทันสมัยยิ่งขึ้นไปอีก
บีไอซี ขอให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า หลายปีมานี้ “นครหนานหนิง” เมืองเอกของเขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วงได้พัฒนาและยกระดับศักยภาพทางเศรษฐกิจให้เป็นที่ประจักษ์ นอกจากจุดแข็งด้านที่ตั้งแล้ว รัฐบาลกว่างซีทุ่มงบประมาณมหาศาลเพื่อการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐาน ปรับปรุงสิ่งแวดล้อมและกฎระเบียบ ตลอดจนให้สิทธิประโยชน์ที่เอื้อประโยชน์ต่อการค้าการลงทุน ทำให้ธุรกิจชั้นนำจากทั้งในและต่างประเทศเล็งเห็น ‘โอกาส’ และทยอยเข้ามาจัดตั้งธุรกิจในนครหนานหนิงเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่เขตทดลองการค้าเสรีจีน(กว่างซี)พื้นที่ย่อยหนานหนิง ดังนั้น “นครหนานหนิง” เป็นอีกหนึ่งพื้นที่เป้าหมายที่ภาคธุรกิจไทยสามารถนำไปประกอบการพิจารณาเพื่อการขยายธุรกิจในประเทศจีนได้
จัดทำโดย นายกฤษณะ สุกันตพงศ์ ศูนย์ข้อมูลเพื่อธุรกิจไทยในจีน ณ นครหนานหนิง
ที่มา เว็บไซต์ www.gx.chinanews.com (中新网广西) วันที่ 25 พฤษภาคม 2565
เว็บไซต์ www.yumchina.com
ที่มาภาพ www.yidianzixun.com/article/0SbGNAmh