ซิดนีย์, 10 มิ.ย. (ซินหัว) — บรรดานักศึกษาต่างชาติอาจสามารถกลับมาเรียนในมหาวิทยาลัยของรัฐนิวเซาธ์เวลส์ของออสเตรเลียได้อีกครั้งเร็วๆ นี้หากแผนงานที่รัฐบาลรัฐนิวเซาธ์เวลส์เสนอเมื่อวันพฤหัสบดี (9 มิ.ย.) ได้รับการอนุมัติโดยรัฐบาลกลาง
นักศึกษาต่างชาติซึ่งไม่สามารถเดินทางมายังออสเตรเลียได้ตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) เป็นแหล่งรายได้หลักของเศรษฐกิจรัฐนิวเซาธ์เวลส์ โดยภาคเศรษฐกิจข้างต้นมีมูลค่าราว 1.46 หมื่นล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย (ราว 3.51 แสนล้านบาท) ในปี 2019
ปัจจุบันนักศึกษาต่างชาติยังคงมีการลงทะเบียนเรียนในมหาวิทยาลัยของออสเตรเลีย แต่เป็นการเรียนทางออนไลน์จากต่างประเทศ
โดมินิก เพอร์รอตเท็ต รัฐมนตรีการคลังของรัฐระบุว่าการศึกษาสำหรับนักศึกษาต่างชาติ เป็นการส่งออกที่สำคัญเป็นอันดับ 2 ของรัฐ และ “เราต้องทำทุกอย่างเพื่อช่วยให้นักศึกษาได้กลับมาและฟื้นฟูภาคส่วนนี้โดยเร็วที่สุด”
ภายใต้แผนนำร่องของรัฐบาลนิวเซาธ์เวลส์ จะมีนักศึกษาต่างชาติเดินทางมายังนครซิดนีย์ ซึ่งเป็นเมืองเอกของรัฐ จำนวน 250 คน ทุกๆ 2 สัปดาห์ ตั้งแต่ช่วงกลางปีเป็นต้นไป เพิ่มเติมจากแผนการนำชาวออสเตรเลียกลับคืนสู่รัฐจำนวน 3,000 คนต่อสัปดาห์ โดยหลังจากเดินทางมาถึงแล้ว นักศึกษาต่างชาติจะต้องเข้ารับการกักตัวในสถานที่ที่กำหนดโดยจะไม่มีการใช้เงินภาษีของชาวออสเตรเลียเข้าช่วยเหลือ
รัฐบาลนิวเซาธ์เวลส์ได้ประสานงานกับคณะกรรมการรองอธิการบดีมหาวิทยาลัยของรัฐนิวเซาธ์เวลส์ ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มการศึกษาที่ทรงคุณวุติของรัฐ เป็นเวลาหลายเดือน เพื่อจัดทำข้อเสนอข้างต้น
“โครงการนี้พิจารณาทั้งแง่มุมส่วนบุคคล สังคม และการศึกษาของนักศึกษาของเราอย่างถี่ถ้วน เพื่อให้พวกเขาได้กลับมาเรียนต่อในชุมชนพหุวัฒนธรรมที่มีชีวิตชีวาของนิวเซาธ์เวลส์อีกครั้งโดยเร็วที่สุด” ศาสตราจารย์ บาร์นีย์ โกลเวอร์ ซึ่งเป็นสมาชิกคณะกรรมการกล่าว
ด้าน เบลล์ ลิม ประธานสภานักศึกษาต่างชาติรู้สึกมีกำลังใจมากขึ้น หลังทราบว่าแผนนี้ถูกยื่นให้รัฐบาลกลางพิจารณาแล้ว “เรารู้สึกดีใจมากที่นักศึกษาต่างชาติจะได้รับการต้อนรับให้กลับมาที่นิวเซาธ์เวลส์อีกครั้ง และนี่เป็นการส่งสารที่ดีเยี่ยมต่อผู้ที่เรียนทางออนไลน์อยู่ในต่างประเทศ ว่าเรามีความหวังว่าสถานการณ์จะกลับสู่ภาวะปกติอีกครั้ง”
อนึ่ง การอนุมัติขั้นสุดท้ายของแผนดังกล่าว จะเป็นการตัดสินใจโดยรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการของรัฐบาลกลางออสเตรเลีย
ขอบคุณที่มาของข้อมูล :
Xinhua