และการเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนของนายกรัฐมนตรีไทย
ข้อริเริ่มสายแถบและเส้นทาง
(Belt and Road Initiative: BRI)
ความเป็นมา
ข้อริเริ่มสายแถบและเส้นทาง (Belt and Road Initiative: BRI) เป็นชื่อย่อของ “แถบเศรษฐกิจเส้นทางสายไหมและเส้นทางสายไหมทางทะเลแห่งศตวรรษที่ 21” (the Silk Road Economic Belt and the 21st Century Maritime Silk Road)
ในเดือนกันยายน 2556 ในระหว่างการเยือนคาซัคสถานของ นายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีนได้แถลงเปิดตัวครั้งแรกถึงการริเริ่มโครงการ “แถบเศรษฐกิจเส้นทางสายไหม” (One Belt and One Road) เส้นทางนี้ประกอบด้วยเครือข่ายถนนและเส้นทางรถไฟเชื่อมจีนกับยุโรปผ่านเอเชียกลาง และในเดือนตุลาคมของปีเดียวกัน นายสี จิ้นผิง เดินทางไปเยือนอินโดนีเซีย และกล่าวเปิดตัวโครงการ “เส้นทางสายไหมทางทะเล” ที่เชื่อมท่าเรือจีนกับท่าเรือในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เอเชียใต้ ตะวันออกกลาง และยุโรป ตลอดเส้นทางบกและเส้นทางทะเล จะมีการลงทุนปรับปรุงท่าเรือ และสร้างศูนย์การผลิตอุตสาหกรรมและการค้าขึ้น ข้อมูล ณ เดือนตุลาคม 2566 สาธารณรัฐประชาชนจีนลงนามในข้อตกลงความร่วมมือกับประเทศต่าง ๆ มากถึง 149 ประเทศ และองค์การระหว่างประเทศ 29 แห่ง
“เส้นทางสายไหมใหม่” (New Silk Road) แบ่งเป็นเส้นทางสายไหมทางบก (Silk Road Economic Belt: One Belt) และเส้นทางสายไหมทางทะเล (Maritime Silk Road: One Road) มีวัตถุประสงค์เพื่อเชื่อมโยงเศรษฐกิจของทวีปเอเชีย ยุโรป และแอฟริกาเข้าด้วยกัน จะนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ การเมือง และสังคมของประชาคมโลก เนี่องจากเป็นนโยบายการพัฒนาทีมีมูลค่าสูงที่สุดเท่าที่เคยมีมา และเป็นนโยบายทีมีการปฏิสัมพันธ์ระหว่างประเทศมากที่สุดของโลก เพราะพาดผ่าน 6 ภูมิภาค ได้แก่ เอเชียตะวันออก เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เอเชียกลาง ตะวันออกกลาง และแอฟริกาเหนือ เอเชียใต้ และยุโรป เมื่อรวมสถิติของทุกประเทศเข้าด้วยกันจะพบว่าประเทศต่าง ๆ ที่อยู่บนเส้นทางสายไหมใหม่มีประชากรรวมกันคิดเป็นร้อยละ 62.3 ของทั้งประชากรโลก มีผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) รวมกันคิดเป็นร้อยละ 30 ของ GDP โลก และมีการบริโภค ภาคครัวเรือนคิดเป็นร้อยละ 24 ของ การบริโภคในครัวเรือนของทั้งโลก อีกทั้ง One Belt One Road จะเป็นโครงการที่ก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานระดับโลกที่มีขนาดใหญ่มากที่สุด
หนึ่งแถบ
หนึ่งแถบ หรือ แถบเศรษฐกิจเส้นทางสายไหมใหม่ (New Silk Road Economic Belt) คือ เครือข่ายเส้นทางบกจากจีนไปยัง 6 ภูมิภาค ได้แก่ เอเชียตะวันออก เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เอเชียกลาง ตะวันออกกลาง และแอฟริกาเหนือ เอเชียใต้ และยุโรป แบ่งการพัฒนาออกเป็น 6 เส้นทาง/ระเบียงเศรษฐกิจ ดังนี้
1. สะพานเศรษฐกิจยูเรเซียใหม่ (New Eurasian Land Bridge: NELB) เริ่มต้นจากท่าเรือ Lianyungang ในมณฑลเจียงซู สิ้นสุดที่เมือง Rotterdam ในยุโรปตะวันตก เป็นเส้นทางขนส่งสินค้าทางถนนจากจีนสู่ยุโรป
2. ระเบียงเศรษฐกิจจีน – มองโกเลีย รัสเซีย (China-Mongolia-Russia Economic Corridor: CMREC) เป็นเส้นทางรถไฟความเร็วสูงและถนน แบ่งออกเป็น 2 เส้นทางคือ (1) ปักกิ่ง เทียนจิน เหอเป่ย ผ่านมองโกเลีย เพื่อไปรัสเซีย และ (2) จากเมืองต้าเหลียน ไปยังเมือง Chita ของรัสเซีย
3. ระเบียงเศรษฐกิจจีน – เอเชียกลาง เอเชียตะวันตก (China-Central Asia-West Asia Economic Corridor: CCWAEC) เป็นเส้นทางสำคัญในการขนส่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติจากคาบสมุทรอาหรับ ตุรกี และอิหร่าน เพื่อส่งไปยังเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์
4. ระเบียงเศรษฐกิจจีน – คาบสมุทรอินโดจีน (China-Indochina Peninsula Economic Corridor: CICPEC) เชื่อมระหว่างเขตเศรษฐกิจสามเหลี่ยมปากแม่น้ำ Pearl River (Pearl River Delta Economic Zone: PRD) กับประเทศในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง
5. ระเบียงเศรษฐกิจจีน – ปากีสถาน (China-Pakistan Economic Corridor: CPEC) เชื่อมจีนกับเอเชียใต้
6. ระเบียงเศรษฐกิจบังกลาเทศจีน – อินเดีย – พม่า (Bangladesh-China-India-Myanmar Economic Corridor: BCIMEC) เริ่มต้นจากเมือง Kashgar ของเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ ไปยังท่าเรือ Gwadar ของปากีสถาน
นอกจากนี้ ในระเบียงเศรษฐกิจที่ติดกับชายฝั่งยังเชื่อมโยงเป็นเครือข่ายเดียวกันกับเส้นทางเดินเรือทะเล ซึ่งแต่ละระเบียงเศรษฐกิจนอกจากจะมุ่งสร้างโครงสร้างพื้นฐานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่ง ได้แก่ ถนน รถไฟ ท่าเรือ และท่อส่งน้ำมัน นอกจากนี้ ในจุดศูนย์กลางการกระจายสินค้า สิ่งอำนวยความสะดวกอื่น ๆ ถูกสร้างหรือพัฒนาขึ้นเพื่อรองรับการเจริญเติบโตทางการค้า เช่น เขตเศรษฐกิจพิเศษ การข้ามแดน ศุลกากร เป็นต้น
ลำดับ | ระเบียงเศรษฐกิจ | เส้นทางก่อสร้าง | ประเทศที่เกี่ยวข้อง |
1 | สะพานเศรษฐกิจยูเรเซียใหม่ | รถไฟ ถนน | จีน (เขตปกครองพิเศษซินเจียง และเมืองเหลียนหยุนก่างใน มณฑลเจียงซู) คาซัคสถาน รัสเซีย เบลารุส และ 23 ประเทศในสหภาพยุโรป |
2 | ระเบียงเศรษฐกิจจีน – มองโกเลีย รัสเซีย | รถไฟ | จีน (ท่าเรือเทียนจิน) มองโกลเลีย รัสเซีย |
3 | ระเบียงเศรษฐกิจจีน – เอเชียกลาง เอเชียตะวันตก | รถไฟ | จีน (เขตปกครองพิเศษซินเจียง) คาซัคสถาน คีร์กีซสถาน ทาจิกิสถาน อุซเบกิสถาน เติร์กเมนิสถาน อัฟกานิสถาน อิหร่าน ตุรกี ยูเครน อาเซอร์ไบจาน จอร์เจีย และรัสเซีย |
4 | ระเบียงเศรษฐกิจจีน – คาบสมุทรอินโดจีน | รถไฟ ถนน ท่าเรือ | จีน (Pearl River Delta) เวียดนาม ไทย ลาว กัมพูชา เมียนมา มาเลเซีย และสิงคโปร์ |
5 | ระเบียงเศรษฐกิจจีน – ปากีสถาน | รถไฟ ถนน ท่อส่งน้ำมัน | จีน (ซินเจียง) อินเดีย อิหร่าน อัฟกานิสถาน ปากีสถาน |
6 | ระเบียงเศรษฐกิจบังกลาเทศจีน – อินเดีย – พม่า | รถไฟ ถนน ท่าเรือ | บังคลาเทศ จีน (เมืองคุณหมิง มณฑลยูนนาน) อินเดีย เมียนมา |
หนึ่งเส้นทาง
หนึ่งเส้นทาง หรือ เส้นทางสายไหมทางทะเลในศตวรรษที่ 21 (21st Century Maritime Silk Road) เป็นเส้นทางเดินเรือที่เชื่อมจีนกับประเทศในมหาสมุทรต่าง ๆ เข้าด้วยกัน โดยจีนได้พัฒนาท่าเรือหลัก 4 ท่า เพี่อรองรับเส้นทางสายไหมใหม่ ได้แก่ ท่าเรือฝูโจว (Fuzhou Port) ท่าเรือเฉวียนโจว (Quanzhou Port) ท่าเรือกว่างโจว (Guanzhou Port) ท่าเรือจ้านเจียง (Zhanjiang Port) ซึ่งแบ่งเส้นทางเดินเรือออกเป็น 2 เส้นทาง คือ
ชายฝั่งตะวันออกของจีน – ทะเลจีนใต้ – มหาสมุทรอินเดีย – อ่าวเปอร์เซีย – ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน – ยุโรป (Coastal China – South China Sea – Indian Ocean – Persian Gulf – The Mediterranean Sea – Europe)
ชายฝั่งตะวันออกของจีน – ทะเลจีนใต้ – มหาสมุทรแปซิฟิกตอนใต้ (Coastal China – South China Sea – South Pacific Ocean)
ความแออัดช่องแคบมะละกาและการเป็นเขตอิทธิพลของสหรัฐอเมริกาและสิงคโปร์ ซึ่งมีข้อพิพาทกับจีน ทำให้เส้นทางสายไหมทางทะเลเป็นเครื่องมือที่จะช่วยลดการพึ่งพาจากช่องแคบมะละกา จีนจึงให้ความสำคัญในการลงทุน/ประกอบการท่าเรือต่าง ๆ ตามเส้นทางสายไหมใหม่นี้ ในทศวรรษที่ผ่านมา จีนได้ลงทุนในการสนับสนุนทั้งการสร้างท่าเรือใหม่ การพัฒนาศักยภาพท่าเรือที่มีอยู่เดิม รวมถึงเข้าไปลงทุนประกอบการเป็นจำนวนเงินกว่า 5 พันล้านเหรียญสหรัฐ ฯ ในท่าเรือต่าง ๆ ทั่วโลก ได้แก่
ท่าเรือ | ทวีป | ประเทศ | มูลค่าการลงทุน(ล้านเหรียญสหรัฐฯ) |
Gwadar | เอเชีย | ปากีสถาน | 198 |
Hambantota | เอเชีย | ศรีลังกา | 1,900 |
Columbo Port City | เอเชีย | ศรีลังกา | 1,430 |
Columbo Port | เอเชีย | ศรีลังกา | 500 |
Port of Djibouti | แอฟริกา | จิบูตี | 185 |
Lamu | แอฟริกา | เคนย่า | 484 |
Mombasa | แอฟริกา | เคนย่า | 66.7 |
Pireas | ยุโรป | กรีช | 624 |
Antwerp | ยุโรป | เบลเยี่ยม | 3.94 |
ประเทศสมาชิก “ข้อริเริ่มสายแถบและเส้นทาง” (ข้อมูล ณ เดือนตุลาคม 2566) | ||||
เอเชียตะวันออกและแปซิฟิก (25) | ||||
สาธารณรัฐประชาชนจีน | กัมพูชา | มองโกเลีย | ไทย | อินโดนีเซีย |
ปาปัวนิวกินี | พม่า | นิวซีแลนด์ | ติมอร์-เลสเต | มาเลเซีย |
เวียดนาม | ฟิลิปปินส์ | ตองกา | สิงคโปร์ | สาธารณรัฐเกาหลี |
นีอูเอ | สปป.ลาว | ซามัว | สหพันธรัฐไมโครนีเซีย | บรูไน |
ฟิจิ | วานูอาตู | หมู่เกาะคุก | หมู่เกาะโซโลมอน | คิริบาส |
เอเชียกลางและยุโรป (35) | ||||
สหพันธรัฐรัสเซีย | เบลารุส | สาธารณรัฐคีร์กีซ | มอลโดวา | มาซิโดเนียเหนือ |
ฮังการี | โรมาเนีย | อุซเบกิสถาน | คาซัคสถาน | บัลแกเรีย |
สาธารณรัฐเช็ก | โปแลนด์ | เซอร์เบีย | สาธารณรัฐสโลวัก | ตุรเคีย |
อาร์เมเนีย | อาเซอร์ไบจาน | ลัตเวีย | จอร์เจีย | แอลเบเนีย |
บอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา | โครเอเชีย | มอนเตเนโกร | เติร์กเมนิสถาน | เอสโตเนีย |
ลิทัวเนีย | สโลวีเนีย | ยูเครน | กรีซ | ทาจิกิสถาน |
โปรตุเกส | อิตาลี | ลักเซมเบิร์ก | ไซปรัส | ออสเตรีย |
เอเชียใต้ (6) | ||||
ปากีสถาน | ศรีลังกา | เนปาล | มัลดีฟส์ | บังคลาเทศ |
อัฟกานิสถาน | ||||
ตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ (18) | ||||
อิรัก | สาธารณรัฐอาหรับอียิปต์ | เลบานอน | โมร็อกโก | สาธารณรัฐเยเมน |
คูเวต | โอมาน | บาห์เรน | ลิเบีย | ตูนิเซีย |
สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ | แอลจีเรีย | ราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย | จิบูตี | สาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน |
มอลตา | กาตาร์ | สาธารณรัฐอาหรับซีเรีย | ||
แอฟริกาตอนใต้ทะเลทรายซาฮารา (44) | ||||
แคเมอรูน | โซมาเลีย | คอโมโรส | แอฟริกาใต้ | มาดากัสการ์ |
โกตดิวัวร์ | เคนยา | รวันดา | เซเนกัล | เซียร์ราลีโอน |
แองโกลา | เบนิน | บุรุนดี | เคปเวิร์ด | ชาด |
เอธิโอเปีย | กาบอง | แกมเบีย | กานา | กินี |
มอริเตเนีย | โมซัมบิก | นามิเบีย | ไนจีเรีย | เซเชลส์ |
ซูดานใต้ | ซูดาน | แทนซาเนีย | โตโก | ยูกันดา |
แซมเบีย | ซิมบับเว | อิเควทอเรียลกินี | ไลบีเรีย | เลโซโท |
มาลี | สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก | บอตสวานา | แอฟริกากลาง | กินี-บิสเซา |
เอริเทรีย | มาลาวี | คองโก | ไนเจอร์ | |
ละตินอเมริกาและแคริบเบียน (21) | ||||
ปานามา | อุรุกวัย | ตรินิแดดและโตเบโก | แอนติกาและบาร์บูดา | โบลิเวีย |
กายอานา | ซูรินาม | โดมินิกา | คอสตาริกา | เกรเนดา |
เวเนซุเอลา | เอลซัลวาดอร์ | ชิลี | เอกวาดอร์ | บาร์เบโดส |
จาเมกา | เปรู | คิวบา | สาธารณรัฐโดมินิกัน | นิการากัว |
อาร์เจนตินา |
กองทุนสนับสนุน
นอกจากจีนเป็นหัวเรือใหญ่ในการกำหนดยุทธศาสตร์เส้นทางสายไหมใหม่แล้ว จีนยังเป็นนายทุนที่สรรหาและเตรียมแหล่งเงินทุนไว้รองรับการพัฒนาแก่ประเทศสมาชิกผู้เข้าร่วมด้วย เพราะศักยภาพในการพัฒนาของในแต่ละประเทศไม่เท่ากัน ดังนั้น เพื่อขับเคลื่อนโครงการต่าง ๆ ให้เกิดขึ้นอย่างราบรื่น จีนได้จัดตั้งกองทุนและสถานบันการเงิน เพื่อรองรับการพัฒนาบนเส้นทางสายไหมใหม่โดยเฉพาะ 2 แห่ง ได้แก่ กองทุนเส้นทางสายไหม (Silk Road Fund) และธนาคารเพื่อการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเอเชีย (Asian Infrastructure Investment Bank: AIIB)
1. กองทุนเส้นทางสายไหม (Silk Road Fund)
กองทุนสายไหมใหม่ (Silk Road Fund Co., Ltd.) ก่อตั้งขึ้น ณ กรุงปักกิ่ง เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2557 ร่วมกันจัดตั้งโดยสถาบันการเงินหลักของจีน 4 แห่ง คือ สำนักงานบริหารเงินตราต่างประเทศแห่งชาติจีน (State Administration of Foreign Exchange) บริษัทเพื่อการลงทุนแห่งชาติจีน (China Investment Corporation) ธนาคารเพื่อการพัฒนาจีน (China Development Bank) และธนาคารเพื่อการส่งออกและการน่าเข้าแห่งประเทศจีน (China Development Bank and Export-Import Bank of China) กองทุนสายไหมใหม่ได้รับการออกแบบมาเพื่อส่งเสริมการพัฒนาและความเจริญรุ่งเรืองร่วมกันของประเทศจีนและประเทศอื่น ๆ ในโครงการเส้นทางสายไหมใหม่ ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา กองทุนสายไหมใหม่เข้าไปลงทุนในโครงการต่าง ๆ เช่น
- โรงไฟฟ้าพลังน้ำ ณ กรุงอิสลามาบัต ในปากีสถาน
- บริษัทยาง Pirelli
- จัดตั้ง China-Kazakhstan Production Capacity Cooperation Fund Co., Ltd.
- โรงก๊าซธรรมชาติเหลว (Yamal LNG) ในรัสเซีย
- โรงงานผลิตน้ำสะอาดและพลังงาน ในอาหรับเอเมอร์เรต อียิปต์ และภูมิภาคใกล้เคียง
2. ธนาคารเพื่อการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเอเชีย (Asian Infrastructure Investment Bank: AIIB)
ธนาคารเพื่อการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเอเชีย เป็นธนาคารเพื่อการพัฒนาแบบพหุภาคี (Multilateral Development Bank) มีภารกิจสำคัญในการสนับสนุนด้านการเงินเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม โดยเฉพาะโครงสร้างพื้นฐานในเอเชีย สำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในกรุงปักกิ่ง เริ่มดำเนินการในเดือนมกราคม 2559 AIIB เป็นสถาบันการเงินที่มีลักษณะคล้ายธนาคารโลก และธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย (Asian Development Bank: ADB)
ความร่วมมือ
Source: Deloitte Insights
เมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2558 คณะกรรมการการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติจีนประกาศใช้แผนปฏิบัติการตามเอกสารชื่อ “Vision and Actions on Jointly Building Silk Road Economic Belt and 21st-Century Maritime Silk Road” โดยความร่วมมือประกอบด้วย 5 ด้านหลัก ดังนี้
1. การประสานนโยบาย (Policy Coordination) ด้วยการสร้างกลไกประสานนโยบายในระดับต่าง ๆ กับประเทศที่ตั้งบนเส้นทางสายไหมใหม่ โดยทำความตกลงและโครงการร่วมกับประเทศต่าง ๆ และองค์กรระดับภูมิภาค
2. การเชื่อมโยงสิ่งอํานวยความสะดวก (Facilities Connectivity) ด้วยการส่งเสริมให้มีการก่อสร้าง โครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ เช่น การขนส่งทางถนน พลังงาน รวมทั้งเครือข่ายด้านการสื่อสาร
3. การค้าที่ไม่มีข้อจํากัด (Unimpeded Trade) ด้วยการส่งเสริมการใช้กรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจเพื่ออํานวยความสะดวกทางด้านการค้าและการลงทุนของประเทศที่อยู่บนเส้นทางสายไหมใหม่
4. การบูรณาการทางการเงิน (Financial Integration) ด้วยการก่อตั้งสถาบันการเงินต่าง ๆ เช่น ธนาคารเพื่อการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานแห่งเอเชีย (Asian Infrastructure Investment Bank: AIIB) ของจีน และธนาคารเพื่อ การพัฒนาใหม่ (New Development Bank: NDB) ของกลุ่มประเทศ BRICS5. การเชื่อมโยงประชาชน (People-to-people Bonds) ด้วยการพัฒนาความร่วมมือด้านการศึกษา วัฒนธรรม การท่องเที่ยว การดูแลสุขภาพ บริการทางการแพทย์ วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี เป็นต้น