เมื่อวันที่ 9 ธ.ค. 2564 บริษัท Shandong High-Speed Group (SDHS) ได้เดินขบวนรถไฟขนส่งสินค้าระหว่างประเทศเส้นทางจีน – ลาว (The Qilu China-Laos) ขบวนแรกของมณฑลซานตง โดยใช้ตู้คอนเทนเนอร์ขนาด 20 ฟุต (Twenty foot Equivalent Unit: TEU) บรรจุสินค้ารวม 50 ตู้ อาทิ วัสดุเหล็กกล้า ยางรถยนต์ ชิ้นส่วนยานยนต์ ของใช้ในชีวิตประจำวัน และสินค้าอื่น ๆ ออกจากเมืองชิงต่าว ถึงปลายทางที่นครหลวงเวียงจันทร์ ประเทศลาว โดยผ่านด่านโม่ฮาน มณฑลยูนนาน ใช้เวลาประมาณ 7 วัน ถึงนครหลวงเวียงจันทร์ ประเทศลาว นับเป็นเส้นทางใหม่ในการแลกเปลี่ยนทางด้านเศรษฐกิจและการค้าระหว่างประเทศของมณฑลซานตงกับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
การเปิดใช้เส้นทางรถไฟจีน – ลาวอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2564 เชื่อมระหว่างนครคุนหมิง มณฑลยูนนาน ประเทศจีน กับนครหลวงเวียงจันทร์ ประเทศลาว เป็นโครงการด้านความเชื่อมโยงที่สำคัญภายใต้ Belt and Road Initiative (BRI) จากความร่วมมือระหว่างผู้นำรัฐบาลของทั้งสองประเทศ ที่ต้องการส่งเสริมและขับเคลื่อนในการพัฒนาเส้นทางรถไฟจีน – ลาว รวมถึงเป็นช่องทางการขนส่งที่สำคัญระหว่างกลุ่มประเทศความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) และเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจใหม่ระหว่างจีนและอาเซียน
ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) เริ่มมีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการในวันที่ 1 มกราคม 2565 โดยมีประเทศสมาชิก ได้แก่ อาเซียน จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ รวม 15 ประเทศ เป็นข้อตกลงกลุ่มการค้าเสรีที่มีขนาดใหญ่ มีประชากรรวมกันมากที่สุดในโลก และเป็นเขตการค้าเสรีที่มีศักยภาพในการพัฒนาสูงสุด
มณฑลซานตง เป็นมณฑลที่ตั้งอยู่ใจกลางระหว่างประเทศจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ไม่เพียงแต่มีกลุ่มผู้บริโภคขนาดใหญ่ ที่มีประชากรมากกว่า 100 ล้านคนเท่านั้น มณฑลซานตง เป็นมณฑลเดียวในจีนที่มีประเภทอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ถึง 41 ประเภท เมื่อความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) มีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการ จะนำโอกาสในการพัฒนาสิ่งใหม่มาสู่มณฑลซานตง ส่งเสริมให้เกิดฐานการกระจายสินค้าระหว่างประเทศที่ครอบคลุมหลายด้าน ก่อให้เกิดประโยชน์ทั้งต่อผู้ผลิตและผู้บริโภคในแต่ละประเทศสมาชิก
รถไฟขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ The Qilu China-Laos สามารถลดต้นทุนในการขนส่ง และช่วยประหยัดเวลามากกว่าการขนส่งทางเรือแบบเก่า ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการช่วยส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างจีน – ลาว รวมถึงส่งผลให้มณฑลซานตง กลายเป็นแผ่นดินทองคำที่สามารถเชื่อมโยงระหว่างประเทศญี่ปุ่น เกาหลีใต้ จีน และอาเซียน ซึ่งเอื้อต่อการเติบโตทางด้านเศรษฐกิจ อุตสาหกรรม การตลาด ความสัมพันธ์ทางธุรกิจ รวมถึงด้านอื่น ๆ ของมณฑลซานตง ช่วยกระตุ้นอุปสงค์และอุปทานระหว่างประเทศ การนำเข้าและส่งออก เกิดเป็นสังคมที่มีการพัฒนาไปอย่างสมดุลทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ กลายเป็น “ผู้นำในการให้บริการ และบูรณาการให้เข้ากับรูปแบบการพัฒนาใหม่”
ตั้งแต่เดือนมกราคม – พฤศจิกายน 2564 ขบวนรถไฟขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ Qilu ของบริษัท SDHS ได้เดินขบวนรถไฟแล้วกว่า 1,597 ขบวน เพิ่มขึ้นร้อยละ 16.3 ผ่าน 23 ประเทศกว่า 53 เมือง ในกลุ่มประเทศ Belt and Road Initiative (BRI) นับเป็นการยกระดับการพัฒนาการค้าระหว่างประเทศของมณฑลซานตงได้อย่างมีประสิทธิภาพ และได้แก้ปัญหาให้กับการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ
บริษัท SDHS พร้อมใช้โอกาสจากการลงนามของรัฐบาลจีนในความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) โดยเริ่มจากการพลิกสถานการณ์จากเส้นทางรถไฟจีน – ลาว ขยายขนาดการค้าทวิภาคีกับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผลักดันและส่งเสริมการพัฒนาขบวนรถไฟขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ Qilu ที่มีคุณภาพสูง เพื่อพัฒนามณฑลซานตงให้เป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนทางการค้าและศูนย์กลางโลจิสติกส์ที่แข็งแกร่ง
การเริ่มใช้ขบวนรถไฟขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ The Qilu China-Laos ของมณฑลซานตง มีความน่าสนใจต่อผู้ประกอบการไทย แม้ว่าการเชื่อมโยงระบบรางดังกล่าวจะยังไม่มาถึงไทย ศูนย์ข้อมูลเพื่อธุรกิจไทยในจีน สถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองชิงต่าว เชื่อว่า เส้นทางรถไฟดังกล่าวจะเข้ามาเปลี่ยนแปลงการขนส่ง และการเดินทางต่อไปในอนาคตของไทยไม่มากก็น้อย ตลอดจนช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจหลัง COVID-19 และช่วยส่งเสริมการค้าระหว่างจีนและไทย นอกจากนี้ ไทยยังมีโอกาสที่จะพัฒนาธุรกิจการค้ากับจีน โดยเฉพาะการนำสินค้าเข้าสู่มณฑลซานตง ที่เป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ในภูมิภาคจีนตอนเหนือ และจีนตะวันออกเฉียงเหนือ เพื่อผลักดันให้มีสินค้าจากประเทศไทยเข้ามาในประเทศจีนมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลไม้ไทย เครื่องอุปโภคบริโภค และสินค้าอื่น ๆ ของไทยที่มีศักยภาพ ซึ่งรัฐบาลมณฑลซานตงก็ให้การสนับสนุนในเรื่องนี้ด้วย
แหล่งที่มา:
1. เว็บไซต์ทางการ 大众网 https://sd.dzwww.com/sdnews/202112/t20211209_9537489.htm (วันที่ 9 ธ.ค. 2564)
2. เว็บไซต์ทางการของสำนักข่าวซินหัวซานตง http://shandong.chinadaily.com.cn/2021-12/10/c_689981.htm (วันที่ 10 ธ.ค. 2564)