หลังจากถูกรัฐบาลสหรัฐฯ คว่ำบาตรตั้งแต่ปี 2562 จนทำให้ต้องสูญเสียรายได้ไปเกือบ 1 ใน 3 ของรายได้ทั้งหมด บริษัท Huawei ได้เริ่มเพิ่มเงินลงทุนเพื่อพัฒนาชิป อุปกรณ์โทรคมนาคม และสมาร์ตโฟน โดยไม่พึ่งพาเทคโนโลยีจากสหรัฐฯ อีกต่อไป และในปี 2564 บริษัทฯ มีการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาเป็นมูลค่า 22,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นร้อยละ 22.4 ของรายได้ยอดขายสุทธิ ส่งผลให้บริษัทฯ มีอัตราส่วนการลงทุนสูงที่สุดในโลก โดยสูงเป็น 2 เท่าของบริษัท Amazon.com และบริษัท Alphabet และสูงเป็น 3 เท่าของบริษัท Apple ถือเป็น 1 ใน 6 บริษัทที่ลงทุนในด้านการวิจัยและพัฒนามากกว่า 20,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้จ้างงานพนักงานด้านการวิจัยและพัฒนาเพิ่มขึ้น 28,000 คน ทำให้อัตราส่วนพนักงานด้านการวิจัยและพัฒนาต่อจำนวนพนักงานทั้งหมดเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 46 เป็นร้อยละ 55 (เมื่อปี 2564 บริษัทฯ มีพนักงานทั้งหมด 195,000 คน)
นางเมิ่ง ว่านโจว (Meng Wanzhou) ทายาทผู้ก่อตั้งบริษัทกล่าวว่า ความสามารถในการวิจัยและพัฒนาถือเป็นมูลค่าที่แท้จริง (true value) ของบริษัทฯ ซึ่งจากการทุ่มเงินลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาอย่างต่อเนื่องนั้น ส่งผลให้เมื่อปี 2564 บริษัทฯ ได้รับสิทธิบัตรจากสหรัฐอเมริกา 2,770 ชิ้น และได้รับการยอมรับจากผู้บริหารของบริษัทด้านโทรคมนาคมในยุโรปว่าบริษัทฯ มีประสิทธิภาพทางเทคนิค (technical performance) สูงกว่าบริษัทอื่น ๆ เช่น Ericsson และ Nokia เป็นต้น นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้ปรับการจับคู่ผลิตภัณฑ์ที่วางจำหน่ายทำให้มีอัตราการขาย (sales margin) เพิ่มขึ้น ปรับการวางแผนจัดหาชิ้นส่วนประกอบ (supply planning) และเน้นการใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่,ประสิทธิภาพการดำเนินการภายในบริษัทฯ ด้วย